รู้ทันโรคกรดไหลย้อน สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาที่ได้ผล

ทำความรู้จักโรคกรดไหลย้อน (GERD) โรคยอดฮิตของคนทำงาน เรียนรู้สาเหตุ วิธีรักษา และแนวทางป้องกันเพื่อชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

ในปัจจุบัน ชีวิตของคนทำงานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หลายคนใช้เวลาส่วนใหญ่กับงานนั่งโต๊ะ หรือกิจกรรมที่ทำให้ขยับร่างกายน้อย ส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพตามมา ซึ่งหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนทำงานคือ โรคกรดไหลย้อน (GERD) ไม่ใช่แค่อาการแสบร้อนกลางอกชั่วคราวที่หายได้เอง แต่มันสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม กรดในกระเพาะอาหารที่ไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารจะทำให้เกิดการระคายเคืองและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อน ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรรู้ เพื่อป้องกันและจัดการกับอาการของโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


โรคกรดไหลย้อน (GERD) คืออะไร?

โรคกรดไหลย้อน หรือ Gastroesophageal Reflux Disease (GERD) เป็นภาวะที่เกิดจากการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร (Esophagus) ทำให้เกิดอาการระคายเคืองในหลอดอาหาร โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower Esophageal Sphincter – LES) ซึ่งปกติแล้วทำหน้าที่กั้นไม่ให้น้ำย่อยหรือกรดในกระเพาะอาหารย้อนกลับขึ้นไป หากหูรูดนี้อ่อนแอหรือทำงานไม่ปกติ จะทำให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร

โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกวัย แต่พบได้บ่อยในผู้ที่มีพฤติกรรมการกินอาหารไม่เป็นเวลา เช่น ผู้ที่ทำงานในออฟฟิศที่มักมีเวลาทานอาหารที่ไม่แน่นอน และมักนั่งทำงานนานๆ โดยไม่ขยับตัว


สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน

การเกิดโรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคนี้คือ

  • ความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง : หูรูดนี้มีหน้าที่ป้องกันกรดไม่ให้ไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร แต่เมื่อมันอ่อนแอหรือทำงานผิดปกติ กรดจะสามารถไหลย้อนกลับได้ง่ายขึ้น
  • พฤติกรรมการรับประทานอาหาร : การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารรสจัด ของทอด และการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ หรือชา ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นการเกิดกรดไหลย้อนได้ การกินอาหารแล้วนอนทันทีก็เป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยง เนื่องจากทำให้หูรูดไม่สามารถปิดได้ดีพอในท่านอน
  • การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแอ และการดื่มแอลกอฮอล์ก็ส่งผลให้กระเพาะอาหารมีการผลิตกรดมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกรดไหลย้อน
  • ความเครียด : ความเครียดสามารถส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่ปกติ ทำให้กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน
  • โรคอ้วน: คนที่มีน้ำหนักตัวเกินจะมีแรงดันในช่องท้องสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อน

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสามารถในการควบคุมการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหาร ดังนั้น การลดพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงได้

ชายหนุ่มในชุดสูทนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ โดยเอามือกุมศีรษะด้วยความเครียด บนโต๊ะมีอาหารจานด่วน เช่น เบอร์เกอร์และมันฝรั่งทอดอยู่ด้านซ้าย และผลไม้สดกับอาหารเพื่อสุขภาพอยู่ด้านขวา ซึ่งเป็นภาพเปรียบเทียบตัวเลือกอาหารที่ต่างกันในชีวิตประจำวัน

อาการของโรคกรดไหลย้อน

อาการของโรคกรดไหลย้อนแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆ ได้แก่ อาการที่เกิดขึ้นในหลอดอาหาร และ อาการที่เกิดขึ้นนอกหลอดอาหาร ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้มีความแตกต่างกันออกไปตามความรุนแรงของโรค

อาการในหลอดอาหาร

  • แสบร้อนกลางอก (Heartburn) : อาการแสบร้อนบริเวณกลางอกซึ่งอาจลามไปถึงลำคอ หรือเกิดอาการรุนแรงขึ้นหลังรับประทานอาหาร
  • เรอเปรี้ยว (Acid Regurgitation) : การรู้สึกว่าอาหารหรือกรดย้อนกลับมาที่ลำคอ และมีรสเปรี้ยวในปาก อาการนี้มักเกิดขึ้นหลังการนอนราบหรือก้มตัว

อาการนอกหลอดอาหาร

  • เสมหะเรื้อรัง : บางคนอาจมีเสมหะสะสมในลำคอเป็นเวลานาน โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
  • อาการเจ็บคอ : เจ็บคอเรื้อรัง หรือเสียงแหบหลังการตื่นนอน ซึ่งเป็นผลมาจากกรดที่ไหลย้อนขึ้นไปในลำคอ
  • หายใจไม่สะดวก : บางคนอาจมีอาการหายใจไม่สะดวกในตอนกลางคืนเนื่องจากกรดไหลย้อนกลับไปถึงทางเดินหายใจ

หากมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้งหรือรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม


วิธีวินิจฉัยและการรักษาโรคกรดไหลย้อน

การวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจะเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยแพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร (Endoscopy) เพื่อตรวจสอบสภาพของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจวัดความเป็นกรดในหลอดอาหาร (pH Monitoring)

วิธีการรักษา

การรักษาโรคกรดไหลย้อนมักแบ่งเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยา

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : หลีกเหลี่ยงการทานอาหารมื้อเล็กๆ บ่อยครั้ง หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ เช่น อาหารมัน อาหารรสจัด และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน ไม่นอนทันทีหลังรับประทานอาหาร สามารถช่วยลดอาการกรดไหลย้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การใช้ยา : ยาลดกรด เช่น Proton Pump Inhibitors (PPIs) และยากลุ่ม H2-receptor antagonists สามารถช่วยลดการผลิตกรดในกระเพาะอาหารและบรรเทาอาการได้ ควรใช้ยาเหล่านี้ตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
  • การตรวจติดตาม : ในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่ม เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบของหลอดอาหารหรือการเกิดแผล

วิธีป้องกันโรคกรดไหลย้อน

การป้องกันโรคกรดไหลย้อนสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ ดังนี้

  1. การรับประทานอาหารที่เหมาะสม : หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมัน อาหารที่มีรสเผ็ดจัด หรืออาหารที่มีกรดสูง เช่น มะเขือเทศและน้ำส้ม นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อย่างเช่น กาแฟ และชาเขียว ที่สามารถกระตุ้นการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร
  2. การนอนหลังมื้ออาหาร : ควรรออย่างน้อย 3 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารก่อนที่จะนอนราบ เพื่อลดการไหลย้อนของกรดในช่วงเวลานอน
  3. ลดน้ำหนัก : การลดน้ำหนักโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคอ้วน จะช่วยลดแรงดันในช่องท้อง ทำให้การไหลย้อนของกรดลดลง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ : บุหรี่และแอลกอฮอล์สามารถทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแอลง และกระตุ้นการเกิดกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้การเลิกบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดกรดไหลย้อนและผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร
  5. การปรับตำแหน่งการนอน : การยกศีรษะสูงประมาณ 6-8 นิ้วขณะนอน จะช่วยให้กรดไม่ไหลย้อนกลับขึ้นมาจากกระเพาะอาหารในช่วงเวลานอน ทำให้คุณหลับสบายและลดความเสี่ยงจากการเกิดกรดไหลย้อนกลางดึก
ภาพแบ่งเป็นสองส่วน ด้านซ้ายเป็นภาพชายหนุ่มนอนหนุนหมอนสูงในห้องนอนที่ดูสงบเพื่อป้องกันอาการกรดไหลย้อน ด้านขวาแสดงภาพของการออกกำลังกายและอาหารเพื่อสุขภาพ มีการจัดจานผักสดและผลไม้บนโต๊ะพร้อมแก้วน้ำ ซึ่งสื่อถึงการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี

สรุป

โรคกรดไหลย้อน (GERD) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา และต้องเผชิญกับความเครียดจากการทำงาน ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรักษาที่ถูกวิธีสามารถช่วยบรรเทาอาการและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและการปรึกษาแพทย์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับโรคนี้ เพื่อให้คุณสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว