การตระหนักถึงสัญญาณและอาการของโรคเบาหวานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ทันท่วงที ยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสในการควบคุมโรคได้ดีขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนัก ก็เป็นส่วนสำคัญในการจัดการโรคเบาหวานอีกด้วย
ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับโรคเบาหวานให้มากขึ้น โดยจะกล่าวถึงประเภทของโรคเบาหวาน รวมถึงสัญญาณและอาการสำคัญที่ควรระวัง เพื่อให้ผู้อ่านมีความรู้ความเข้าใจและสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อวิธีที่ร่างกายของคุณใช้แป้งหรือคาร์โบไฮเดรต แป้งจะถูกย่อยเป็นน้ำตาลในเลือด (กลูโคส) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้น้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน
ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ร่างกายจะไม่สร้างอินซูลินเพียงพอหรือไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานสามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้
ประเภทของโรคเบาหวาน มีสี่ประเภท
โรคเบาหวานประเภทที่ 1 โรคนี้เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สร้างอินซูลินเลย โรคเบาหวานชนิดที่ 1 มักเกิดขึ้นในเด็กและวัยรุ่น แต่สามารถเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ได้เช่นกัน
โรคเบาหวานประเภทที่ 2 โรคนี้เกิดขึ้นเมื่อร่างกายดื้อต่ออินซูลิน หรือไม่สร้างอินซูลินเพียงพอ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นประเภทที่พบบ่อยที่สุดและมักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน
โรคเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ โรคเบาหวานชนิดนี้เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ และมักจะหายไปหลังคลอด อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในภายหลัง
โรคเบาหวานที่มีสาเหตุเฉพาะ โรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากภาวะทางการแพทย์อื่น เช่น โรคตับอ่อนหรือโรคซีสติกไฟโบรซิส
ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน
- กรรมพันธุ์: หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน โอกาสที่จะเป็นโรคนี้ก็จะสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นเบาหวาน ความเสี่ยงของบุคคลนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
- อายุ: ความเสี่ยงของโรคเบาหวานจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปี อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบว่ามีคนหนุ่มสาววัยรุ่นและเด็กเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นด้วย
- น้ำหนักเกิน: ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากไขมันส่วนเกินโดยเฉพาะไขมันรอบเอว จะทำให้เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
- การขาดการออกกำลังกาย: การออกกำลังกายช่วยควบคุมน้ำหนักและเพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน ดังนั้น ผู้ที่ขาดการออกกำลังกายจึงมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานสูงกว่า
- โรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง: โรคบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคถุงน้ำดีอักเสบ โรคตับ เป็นต้น
- การรับประทานยาบางชนิด: ยาสเตียรอยด์ ยารักษาโรคจิต และยาปฏิชีวนะบางชนิด อาจมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้ หากจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้เป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด
- การตั้งครรภ์: หญิงตั้งครรภ์บางรายอาจมีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งมักจะหายไปหลังคลอด แต่จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
สัญญาณและอาการของโรคเบาหวาน
สัญญาณและอาการของโรคเบาหวานอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของโรคเบาหวานและความรุนแรงของโรค สัญญาณและอาการทั่วไป ได้แก่
- กระหายน้ำบ่อย เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง –ไตจะพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ซึ่งจะดึงน้ำจากร่างกายไปด้วย ทำให้ร่างกายขาดน้ำและรู้สึกกระหายน้ำมากขึ้น ยิ่งระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากเท่าไหร่ ความกระหายน้ำก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
- ปัสสาวะบ่อย – เนื่องจากร่างกายพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ จึงทำให้ปริมาณปัสสาวะเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยเบาหวานอาจต้องตื่นมาปัสสาวะกลางดึกบ่อยครั้ง หรือปัสสาวะบ่อยผิดปกติในระหว่างวัน
- หิวบ่อย ในคนที่เป็นเบาหวาน – แม้ว่าจะกินอาหารมากแต่ก็ยังรู้สึกหิวบ่อย เพราะร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เซลล์ขาดพลังงาน ร่างกายจึงส่งสัญญาณหิวเพื่อกระตุ้นให้กินอาหารเพิ่มขึ้น
- น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ – เมื่อร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ มันจะเริ่มสลายโปรตีนและไขมันแทน ทำให้กล้ามเนื้อลีบและไขมันในร่างกายลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยเบาหวานมีน้ำหนักลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลีย – ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าตลอดเวลา เนื่องจากเซลล์ไม่ได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ ส่งผลให้การทำงานของร่างกายไม่เต็มประสิทธิภาพ
- สายตาพร่ามัว – ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังจะทำให้เลนส์ในดวงตาบวมและเปลี่ยนรูปร่าง ส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน อาการนี้มักจะค่อยๆ แย่ลงหากไม่ได้รับการรักษา
- ชาหรือรู้สึกเสียวซ่าที่มือ เท้า หรือปลายแขน – น้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานอาจทำลายเส้นประสาท โดยเฉพาะที่ปลายมือและเท้า ทำให้เกิดอาการชา เสียวซ่า หรือรู้สึกเหมือนเข็มทิ่มแปลบๆ ซึ่งเป็นอาการของภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่า Diabetic neuropathy
- แผลหายช้า – ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะไปกดการทำงานของเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เมื่อเกิดบาดแผล ร่างกายจึงต่อสู้กับเชื้อโรคได้ไม่ดีนัก ประกอบกับเส้นเลือดเสื่อมทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลไม่เพียงพอ จึงทำให้แผลหายช้าหรือมีโอกาสติดเชื้อสูง
สรุป
จากอาการเหล่านี้ที่เราได้บอกไปไม่ได้เกิดขึ้นในผู้ป่วยเบาหวานทุกคน และบางอาการก็อาจพบได้ในโรคอื่นๆ ด้วย ดังนั้น หากมีสัญญาณหรืออาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป