โรคเบาหวาน เป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขทั่วโลก และโรคเบาหวานก็ยังเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ร่วมกับการใช้ยาและการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดี อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต จอประสาทตาเสื่อม แผลที่เท้า เป็นต้น ดังนั้น ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคเบาหวาน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและควบคุมโรคนี้
โรคเบาหวานคืออะไร
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของการใช้น้ำตาลกลูโคสในร่างกาย เนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือฮอร์โมนอินซูลินทำงานไม่เพียงพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ส่งผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
สาเหตุของโรคเบาหวาน
- พันธุกรรม
- ภาวะอ้วน
- การขาดการออกกำลังกาย
- อายุที่มากขึ้น
- การตั้งครรภ์
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์
อาการของโรคเบาหวาน
- ปัสสาวะบ่อย เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจะพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อยและมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- หิวน้ำบ่อย เนื่องจากร่างกายขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ จึงทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปด้วย ส่งผลให้รู้สึกกระหายน้ำและดื่มน้ำบ่อยกว่าปกติ
- หิวข้าวบ่อย เซลล์ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้รู้สึกหิวบ่อยและอยากรับประทานอาหารมากขึ้น แม้ว่าจะรับประทานไปแล้วก็ตาม
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้จะรับประทานอาหารมากขึ้น แต่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงแย่งเอาไขมันและกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทน ส่งผลให้น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลีย เมื่อเซลล์ไม่ได้รับพลังงานจากน้ำตาลอย่างเพียงพอ จึงทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
- แผลหายช้า ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานาน ส่งผลให้เส้นเลือดเล็กๆ เสียหาย การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลไม่ดี ทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
- ชาที่มือและเท้า ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานาน ทำให้เส้นประสาทเสื่อมและถูกทำลาย โดยเฉพาะบริเวณปลายมือและเท้า ทำให้มีอาการชา รู้สึกเหมือนเป็นเข็มทิ่ม หรือปวดแสบปวดร้อนได้
- ตาพร่ามัว น้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นทำให้เลนส์ตาขุ่นและบวมน้ำ ส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัว หรือมองภาพไม่ชัด นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก และเบาหวานขึ้นจอประสาทตาได้
อาการเหล่านี้อาจไม่ปรากฏในผู้ป่วยเบาหวานทุกราย หรืออาจมีความรุนแรงแตกต่างกันไป หากสังเกตเห็นความผิดปกติดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ จะช่วยบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้
ชนิดของโรคเบาหวาน
- โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน ทำให้ร่างกายขาดอินซูลินโดยสิ้นเชิง จำเป็นต้องได้รับอินซูลินทดแทนตลอดชีวิต พบได้ในเด็กและวัยรุ่น
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน ร่างกายผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ หรืออินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร พบได้บ่อยในวัยผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน ขาดการออกกำลังกาย และมีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัว
- โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติหลังคลอด แต่มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคตได้
- โรคเบาหวานที่มีสาเหตุเฉพาะ (Specific Types of Diabetes due to Other causes) โรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากภาวะทางการแพทย์อื่น เช่น โรคตับอ่อนหรือโรคซีสติกไฟโบรซิส
ผลกระทบของโรคเบาหวานต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด เสี่ยงต่อโรคหัวใจวาย หลอดเลือดสมองอุดตัน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
- ระบบประสาท เสี่ยงต่อโรคเส้นประสาทเสื่อม โรคอัลไซเมอร์
- ระบบไต เสี่ยงต่อโรคไตวาย
- ระบบตา เสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อม โรคต้อกระจก
- ระบบเท้า เสี่ยงต่อแผลเรื้อรัง ติดเชื้อ
- ระบบอื่นๆ เสี่ยงต่อปัญหาทางเพศ ภาวะซึมเศร้า
ผลกระทบของโรคเบาหวานต่อสุขภาพจิต
- ภาวะซึมเศร้า
- วิตกกังวล
- เครียด
- ภาวะหมดไฟ
- ปัญหาการนอนหลับ
การรักษาโรคเบาหวาน
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- ควบคุมอาหาร เน้นอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ควบคุมน้ำหนัก
- งดสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์
- การใช้ยา
- ยากินลดระดับน้ำตาลในเลือด เช่น Metformin, Sulfonylureas
- ยาฉีดอินซูลิน ในรายที่ควบคุมระดับน้ำตาลด้วยยากินไม่ได้
- การตรวจติดตามอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
การป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน
1.ควบคุมอาหาร เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index) ต่ำ เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผักใบเขียว ถั่วชนิดต่างๆ และผลไม้ที่ไม่หวานจัด หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง จำกัดการบริโภคเกลือ และควบคุมปริมาณแป้งและคาร์โบไฮเดรต
2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาที ต่อเนื่อง 5 วันต่อสัปดาห์ หรือตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
3.ควบคุมน้ำหนัก ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (BMI 18.5-22.9 กก./ตร.ม.) จะช่วยเพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
4.งดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต จอประสาทตาเสื่อม แผลที่เท้า การเลิกสูบบุหรี่จะช่วยชะลอและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้
5.ดื่มแอลกอฮอล์แต่น้อย การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็ง ภาวะตับอ่อนอักเสบ และโรคอื่นๆ ตามมา หากจำเป็นต้องดื่ม ควรจำกัดปริมาณไม่เกินวันละ 1 ดื่มมาตรฐานในผู้หญิง และไม่เกิน 2 ดื่มมาตรฐานในผู้ชาย
6. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมัน ความดันโลหิต รวมถึงการตรวจตา ไต และเท้า เป็นประจำทุกปี จะช่วยให้ทราบความผิดปกติและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้แต่เนิ่นๆ ทำให้สามารถรักษาและควบคุมได้ทันท่วงที
7.ทานยาตามแพทย์สั่ง หากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพียงอย่างเดียว แพทย์อาจพิจารณาให้ยาช่วยควบคุมระดับน้ำตาล เช่น ยากิน ยาฉีดอินซูลิน การทานยาอย่างถูกต้อง สม่ำเสมอ ตามแผนการรักษาของแพทย์ จะช่วยควบคุมโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม ร่วมกับการใช้ยาและการติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยควบคุมโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ค่ะ