เรียนรู้เกี่ยวกับโรคออฟฟิศซินโดรม ที่เป็นภัยเงียบในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ พร้อมวิธีการป้องกันและรักษาเพื่อให้คุณทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดี
โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นกับคนทำงานออฟฟิศอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคที่หลายคนต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โรคนี้มักถูกมองข้าม แต่ความจริงแล้วสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพในระยะยาวอย่างมาก ดังนั้นการเรียนรู้เกี่ยวกับโรคนี้และวิธีการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ออฟฟิศซินโดรมคืออะไร
โรคออฟฟิศซินโดรม คือภาวะที่เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อและข้อกระดูกซ้ำๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่ต้องนั่งท่าเดียวกันเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ การใช้สมาร์ทโฟน หรือการทำงานที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้บ่อยๆ การขาดการออกกำลังกาย การนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง และการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้
อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- ปวดหลัง ปวดคอ ไหล่และบ่า
- ปวดศีรษะ และอาการตาพร่ามัว
- นิ้วล็อคและมีอาการชาที่มือ
ออฟฟิศซินโดรมนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่อาการปวดเมื่อย แต่สามารถส่งผลกระทบในระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพของข้อกระดูก การเกิดปัญหาเส้นประสาท และอื่นๆ
สาเหตุของโรคออฟฟิศซินโดรม
โรคออฟฟิศซินโดรมเกิดจากปัจจัยหลายประการที่มาจากพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมการทำงาน ซึ่งส่งผลต่อกล้ามเนื้อและระบบกระดูกของร่างกายโดยตรง
1.การนั่งทำงานในท่าเดียวกันเป็นเวลานาน
การนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน โดยเฉพาะท่านั่งที่ไม่รองรับสรีระ ทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียดในบริเวณหลัง คอ และไหล่ เช่น การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ที่ต้องโน้มตัวไปข้างหน้าหรือก้มคอมากเกินไป การนั่งแบบนี้ทำให้เกิดแรงกดทับบนกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อที่ทำงานซ้ำๆ
2.การใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนโดยไม่พักสายตา
การใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนติดต่อกันนานโดยไม่พัก ทำให้เกิดความเมื่อยล้าทั้งในกล้ามเนื้อตาและคอ เพราะหน้าจอที่อยู่ในระดับไม่เหมาะสม บางครั้งต้องก้มหน้าลง หรือยกหัวขึ้นเพื่อมองจอ ส่งผลต่อกล้ามเนื้อที่คอและสายตา
3.สภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสม
สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่สนับสนุนการนั่งอย่างถูกต้อง เช่น เก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิงที่รองรับหลังอย่างเหมาะสม โต๊ะทำงานที่สูงหรือต่ำเกินไป หรือการวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่อยู่ในระดับสายตา ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อและทำให้เกิดอาการปวดในระยะยาว
4.ขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย
การนั่งทำงานในท่าเดียวกันโดยไม่มีการขยับตัวหรือเปลี่ยนท่าทางบ่อยครั้ง ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี กล้ามเนื้อเกิดการเกร็งตัว ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยที่คอ บ่า ไหล่ และหลัง
5.ความเครียดจากการทำงาน
ความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มักถูกมองข้าม แต่ความเครียดสามารถส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงและเกร็งได้ อันเนื่องมาจากการขาดการผ่อนคลายระหว่างทำงาน ความกดดันจากงานที่หนักหน่วงทำให้พนักงานไม่พักผ่อนอย่างเพียงพอ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรมได้
การทำงานในลักษณะที่ขาดการเคลื่อนไหวและท่านั่งที่ไม่เหมาะสมจะเป็นสาเหตุหลักของโรคออฟฟิศซินโดรม การปรับปรุงสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมการทำงาน เช่น การหยุดพักบ่อยๆ หรือปรับท่านั่งให้ถูกต้อง สามารถลดความเสี่ยงของโรคนี้ได้อย่างมาก
อาการที่บ่งบอกว่าคุณเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม
อาการของโรคออฟฟิศซินโดรมอาจไม่แสดงให้เห็นชัดเจนในระยะแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านี้จะเริ่มแสดงออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้น หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานหรือเข้ารับการตรวจรักษา
- อาการปวดหลัง คอ ไหล่ และบ่า : มักจะเป็นอาการปวดเรื้อรังหรือปวดเฉียบพลัน โดยเฉพาะเมื่อทำงานนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน
- อาการปวดศีรษะ : เกิดจากความเครียดและการใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง
- ตาพร่ามัวหรือปวดตา : การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานโดยไม่มีการพักสายตา ทำให้เกิดอาการตาแห้งและตาพร่า
- อาการชาที่แขนและมือ : การนั่งทำงานในท่าที่ไม่เหมาะสมและการใช้คอมพิวเตอร์หรือเมาส์นานเกินไป อาจทำให้เส้นประสาทถูกกดทับ ทำให้เกิดอาการชามือ นิ้วล็อค หรือขยับนิ้วได้ลำบาก
- นิ้วล็อค : เกิดจากการใช้นิ้วและข้อมืออย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการพัก ทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเกิดการอักเสบและติดขัด
วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม
แม้ว่าออฟฟิศซินโดรมจะเป็นโรคที่พบบ่อย แต่ยังสามารถป้องกันได้ หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม
- ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง : ควรเลือกเก้าอี้ที่รองรับสรีระ โดยให้หลังตั้งตรงและเท้าวางบนพื้นในท่าที่สบาย
- พักสายตา : ควรพักทุกๆ 1 ชั่วโมง โดยการมองออกไปที่ไกลๆ เพื่อให้สายตาผ่อนคลาย
- ยืดกล้ามเนื้อ : การยืดเส้นยืดสายเป็นประจำช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
การรักษาออฟฟิศซินโดรมเมื่อมีอาการรุนแรง
หากอาการของโรคออฟฟิศซินโดรมรุนแรงจนไม่สามารถรับมือได้ด้วยวิธีป้องกันเบื้องต้น การรักษาทางการแพทย์เป็นสิ่งจำเป็น เช่น
- กายภาพบำบัด : เพื่อฟื้นฟูและปรับสภาพกล้ามเนื้อ
- การใช้ยา : ในบางกรณีที่มีอาการปวดรุนแรง จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด
- การฝังเข็ม : เป็นอีกวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ดี
- การผ่าตัด : สำหรับอาการที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกเคลื่อน
สรุป
โรคออฟฟิศซินโดรมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่นั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่เปลี่ยนท่าทางหรือขาดการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม หากไม่ได้รับการป้องกันหรือรักษาอย่างถูกต้อง โรคนี้อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ไม่เพียงแต่อาการปวดเมื่อยในกล้ามเนื้อและข้อต่อ แต่ยังมีผลต่อการทำงานของระบบประสาท จึงต้องมีการปรับพฤติกรรมการทำงานให้เหมาะสม เช่น การพักบ่อยๆ ยืดกล้ามเนื้อ หรือปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน อย่างเช่น ใช้เก้าอี้และโต๊ะที่รองรับสรีระ จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคนี้ได้อย่างมาก
ทั้งนี้การรู้จักสังเกตอาการเบื้องต้นและการปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพการทำงาน จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรมได้ นอกจากนี้ ในกรณีที่มีอาการรุนแรงไม่สามารถใช้วิธีเบื้องต้นได้ การเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก็จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น